เด็กหนุ่มที่ “เสียชีวิต” ไปเพียง 6 นาที ได้เปิดเผยฉากอันน่าตกตะลึง ที่เขาอ้างว่าพบในชีวิตหลังความตาย “ผมตายไปหกนาทีแล้วเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นหลังความตาย ความจริงทำให้ผมหวาดกลัว”
ตายแล้วไปไหน จะเกิดอะไรขึ้นกับเราหลังจากที่เราตายไป….? เป็นคำถามที่รบกวนมนุษยชาติมาโดยตลอด ซึ่งเป็นความอยากรู้อยากเห็นโดยธรรมชาติ และในขณะเดียวกันช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา นักวิจัยได้พยายามค้นหาคำตอบด้วยการใช้เทคโนโลยีที่ล้ำสมัยมากขึ้น แต่ก็ไม่เคยพบคำตอบที่ชัดเจน
อย่างไรก็ตาม หลายคนที่เคยเกือบตาย หรือตายแล้วฟื้นกลับมาอีกครั้ง พวกเขามักอ้างว่าเข้าใจเรื่องชีวิตหลังความตายได้โดยกลับมาพร้อมกับประสบการณ์หรือภาพนิมิต ที่เกิดขึ้นระหว่างหรือก่อนการฟื้นคืนชีพ
ดังเช่นชายคนหนึ่งที่โพสต์เรื่องราวสุดสยองบน Reddit เกี่ยวกับสิ่งที่เขาอ้างว่าเกิดขึ้นในช่วงที่เขา “เฉียดใกล้ความตาย” และแม้การโพสต์บนโซเชียลมีเดียโดยไม่เปิดเผยตัวเช่นนี้ จะไม่สามารถตรวจสอบใดๆ ได้ แต่เรื่องราวของเขาก็ดึงดูดความสนใจของผู้อ่านหลายร้อยคน
ผู้ใช้รายดังกล่าวอ้างว่า เมื่อตอนที่อายุ 15 ปี เขาได้ป่วยด้วยภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ทำให้หัวใจหยุดเต้น และหยุดหายใจไป 6 นาที ในช่วงเวลาดังกล่าวนี้เอง เขาได้เห็นภาพหลอนที่น่ากลัวเกี่ยวกับสิ่งที่เชื่อว่าจะเกิดขึ้นใน “ชีวิตหลังความตาย”
ผู้ใช้รายนี้เขียนว่า “ระหว่างที่ไปเยือน ผมได้รู้สิ่งต่างๆ เกี่ยวกับจักรวาลของเรา ซึ่งผมหวังว่าจะไม่เคยรับรู้มัน….. มันเริ่มต้นด้วยแสงสว่างที่แยงตา แสงสว่างสีขาวแผ่กระจายไปทั่ว มันส่องอาบร่างกายของผม ทำให้ผมสงบลง มันคือทุกสิ่งทุกอย่างเป็นทั้งความสุข ความอบอุ่น และเป็นประสบการณ์ทางจิตวิญญาณ”
แต่แล้วสิ่งต่างๆ ก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เขารู้สึกเหมือนกำลังลอยขึ้นไปและพบประตูหลายบาน จนกระทั่งไปถึงสถานที่ที่ไม่มีมิติ เขารู้สึกเหมือนอยู่ในโลกที่ไม่สามารถเข้าใจได้ในฐานะมนุษย์ “ผมมาถึงสถานที่ที่ไม่มีมิติ สถานที่ที่อยู่เหนือความเป็นจริงมันสมเหตุสมผลก็ต่อเมื่อผมอยู่ในนั้น ผมไม่เชื่อว่าสิ่งมีชีวิตที่มีกายเนื้อจะสามารถเข้าใจโลกวิญญาณได้ มีบางอย่างเกี่ยวกับการดำรงอยู่ที่จับต้องไม่ได้ของมันที่ไม่อาจแปลความหมายได้”
“ผมไม่ได้อยู่คนเดียวที่นั่น เมื่อไปถึงมีพลังชีวิตหลายอย่างโอบล้อมรอบผม ในตอนแรก เนื่องจากเติบโตมาในศาสนาคริสต์ผมจึงเชื่อว่าพวกเขาคือทูตสวรรค์ในรูปแบบที่ไม่มีกายเนื้อ จึงทำท่าทางตามความเชื่อทางจิตวิญญาณ โดยกางแขนออกเพื่อรอรับการโอบกอดจากพวกเขา”
แต่แท้จริงแล้วสิ่งที่เขากำลังเผชิญอยู่นั้น กลับกลายเป็นสิ่งที่โหดร้ายและไร้เมตตา “แต่ผมกลับรู้สึกว่าตัวเองถูกพันธนาการด้วยพลังของพวกมัน เหมือนกับสุนัขที่ถูกใส่ปลอกคอ ความอับอายและความหวาดกลัวเข้าครอบงำ พวกมันไม่ใช่สิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติอย่างที่ผมถูกทำให้เชื่อว่ากำลังรอเราอยู่ พวกมันเป็นผู้ปกครองที่โหดร้ายและไม่เห็นอกเห็นใจที่คอยล่ามผมเอาไว้”
ชายผู้นี้อ้างด้วยว่า ในขณะที่เขาถูกสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นทรมาน พวกมันได้ล้อเลียนเขา และบอกว่าโลกมนุษย์เป็นเพียงสถานที่สำหรับ “เพาะปลูกวิญญาณ” ของสิ่งมีชีวิตระดับสูง จากนั้นเมื่อตายไปก็จะใช้วิญญาณของมนุษย์เป็น “ทาส” ในมิติของตน
ในที่สุด ทีมแพทย์ได้ช่วยชีวิตเขาฟื้นคืนชีพกลับมา และเมื่อเขาบอกเล่าประสบการณ์นี้ให้คนใกล้ตัวฟัง อีกฝ่ายต่างก็บอกว่าเป็นผลจากความกระทบกระเทือนทางจิตใจจากประสบการณ์ใกล้ตาย ซึ่งเมื่อรวมเข้ากับอายุที่ยังน้อยของเขาแล้ว จึงน่าจะเป็นเรื่องหนักหนามาก
อย่างไรก็ตาม ตัวเขาก็ยังคงเชื่อในสิ่งที่ตนเองเห็น และตัดสินใจโพสต์เล่าสิ่งต่างๆ ลงโลกออนไลน์ ซึ่งพบว่ามีคนจำนวนมากที่เข้ามาแชร์ประสบการณ์คล้ายๆ กันโดยบางคนก็มีมุมมองจากประสบการณ์ใกล้ตาย และบางคนก็มีมุมมองจากความเชื่อทางจิตวิญญาณ
ยกตัวอย่างเช่นเคสของ แอมเบอร์ คาวานอห์ จากแคนาดา ตามที่ได้รายงานโดย Daily Mail เธออ้างว่าเห็นสามีร้องไห้อยู่ข้างร่างกายของเธอ หลังจากที่เธอมีอาการเส้นเลือดในสมองแตก ตอนอายุ 43 ปี ในประสบการณ์ที่เหมือนวิญญาณหลุดออกจากร่างกาย และเธอยังได้ไปเยือน “จุดเชื่อมต่อ” ระหว่างสวรรค์และโลก
ถึงแม้ว่าเรื่องราวนี้จะไม่มีวันได้รับการยืนยันว่าเป็นความจริง แต่ผลการศึกษาวิจัยใหม่ๆ ได้แสดงให้เห็นว่า ณ จุดใกล้เสียชีวิต สมองสามารถประสบกับ “พายุ” หรือ “กิจกรรมพุ่งพล่าน” ได้ รวมทั้งกรณีของผู้ที่ได้รับการช่วยชีวิตจากทีมแพทย์ต่อเนื่องนานถึง 6 นาทีหรือมากกว่านั้นก็ตาม
ตามรายงานใน The Guardian การวิจัยเกี่ยวกับประสบการณ์ใกล้ตาย มักจะถูกแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม
- กลุ่มแรกคือ ผู้ที่ศึกษาจากมุมมองทางชีววิทยา (physicalists)
- กลุ่มที่สองคือ ผู้ที่ศึกษาด้านจิตวิทยาเหนือธรรมชาติ (parapsychologists) ที่เชื่อว่าจิตสำนึกสามารถมีอยู่หลังจากการตายในบางรูปแบบ
- กลุ่มที่สามคือ กลุ่มจิตวิญญาณ (spiritualists) ที่มักจะเชื่อในความเข้าใจทางศาสนาเกี่ยวกับชีวิตหลังความตาย และมักจะเชื่อว่าคนที่มีประสบการณ์เช่นผู้ชายที่แชร์ใน Reddit อาจจะได้เข้าสู่ชีวิตหลังความตายที่เป็นทิศทางทางศาสนาหรือทางจิตวิญญาณ
การวิจัยโดย “จิโม บอร์จิจิน” ศาสตราจารย์ทางด้านประสาทวิทยา แสดงให้เห็นว่ามีบางกรณีที่สมองของผู้ป่วยเริ่มทำงานอย่างเหลือเชื่อ เมื่อถูกถอดเครื่องช่วยชีวิตและเกิดภาวะหัวใจหยุดเต้น “โดยเฉพาะพื้นที่ในสมองที่เกี่ยวข้องกับการประมวลผลประสบการณ์ที่มีสติ พื้นที่ที่ทำงานเมื่อเราเคลื่อนไหวในโลกแห่งความเป็นจริงและเมื่อเรามีความฝันที่ชัดเจน กำลังสื่อสารกับพื้นที่ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างความทรงจำ”
“นอกจากนี้ ยังมีพื้นที่บางส่วนของสมองที่เกี่ยวข้องกับความเห็นอกเห็นใจ แม้ว่าคนไข้จะจมดิ่งลงสู่ความตายอย่างไม่อาจกลับคืนได้ แต่สิ่งที่ดูน่าอัศจรรย์ราวกับคนมีชีวิตกลับยังคงเกิดขึ้นอยู่”