จากผลการประชุม GBC มีประเด็นสำคัญที่ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องร่วมกัน ได้แก่
1. การถอนอาวุธหนักและยุทโธปกรณ์ทำลายล้างสูงออกจากพื้นที่ชายแดน โดยฝ่ายเลขานุการ GBC และ RBC จะหารือภายใน 3 สัปดาห์ เพื่อจัดทำแผนและเริ่มเคลื่อนย้ายกำลังออกตามเวลาที่กำหนด พร้อมให้คณะผู้สังเกตการณ์ IOT เข้าร่วม เพื่อสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกัน
2. การร่วมกันเก็บกู้ทุ่นระเบิดตามแนวชายแดน เริ่มภายใน 1 เดือน เพื่อความปลอดภัยของประชาชนและเจ้าหน้าที่
4. การบริหารจัดการพื้นที่ชายแดน โดยให้ JBC กำหนดความชัดเจนของเส้นเขตแดน และ RBC จัดทำแนวทางบริหารจัดการตามกรอบของ JBC สำหรับกรณีบ้านหนองจาน ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้วและจังหวัดบันเตียเมียนเจย อยู่ระหว่างการประสานงาน เพื่อบริหารจัดการพื้นที่ให้เป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อย
5. การผ่อนปรนการผ่านแดน กระทรวงกลาโหม ขอชี้แจงว่า ยังไม่มีการเปิดด่านในขณะนี้ มาตรการดังกล่าว เป็นเพียงการหารือเชิงหลักการ โดยหากมีการดำเนินการในอนาคต จะผ่อนปรนเฉพาะรถขนส่งสินค้า ไม่ใช่บุคคล และต้องอยู่ภายใต้ข้อจำกัดเรื่องจำนวนเที่ยวหรือรายกรณี ขึ้นอยู่กับระดับความพร้อมและความตึงเครียดในพื้นที่
เพื่อความเหมาะสม กระทรวงกลาโหมได้กำหนด 3 โซนตามระดับความตึงเครียด ได้แก่
โซนที่ 1 ความตึงเครียดสูงสุด (ชายแดนกองทัพภาคที่ 2 – อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์)
โซนที่ 2 ความตึงเครียดปานกลาง (ชายแดนกองทัพภาคที่ 1 – สระแก้ว)
โซนที่ 3 ความตึงเครียดน้อย (กองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด)
โดยจะเริ่มนำร่องมาตรการผ่อนปรนในโซนที่ 3 ก่อน พร้อมมอบหมายให้คณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) ร่วมกำหนดรายละเอียด เช่น ประเภทสินค้า เวลาผ่านแดน และจำนวนเที่ยวรถ โดยบูรณาการกับหน่วยงานในพื้นที่ ทั้งหอการค้า กรมศุลกากร กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงอุตสาหกรรม
พลเรือตรี สุรสันต์ กล่าวเพิ่มเติมว่า นโยบายสำคัญที่นายกรัฐมนตรี มอบแก่ พลเอก ณัฐพล คือ ต้องปกป้องอธิปไตยชาติ พร้อมดูแลประชาชน เพราะความตึงเครียดที่ยืดเยื้อส่งผลกระทบต่อเกษตรกร ผู้ประกอบการ และครัวเรือนโดยตรง อย่างไรก็ตาม สิ่งที่จะทำให้การเจรจาครั้งนี้เดินหน้าได้อย่างแท้จริง คือ ความจริงใจและการปฏิบัติตามข้อตกลงของฝ่ายกัมพูชา หากไม่มีการปฏิบัติจริง ความร่วมมือที่ตกลงกันไว้ย่อมไม่เกิดผล และจะเป็นอุปสรรคต่อการคลี่คลายสถานการณ์

