1. มือและแขน
2. ขาและน่อง
เส้นเลือดเขียวที่เห็นได้ชัดบริเวณน่องหรือขา อาจบ่งชี้ถึง “เส้นเลือดขอด” หรือ “ภาวะหลอดเลือดดำไม่สมบูรณ์” โดยเฉพาะหากมีอาการปวดเมื่อย หนักขา หรือเป็นตะคริวบ่อยในตอนกลางคืน หากปล่อยไว้โดยไม่รักษา อาจนำไปสู่ภาวะลิ่มเลือดอุดตัน (DVT) ซึ่งอันตรายถึงชีวิต โดยเฉพาะในผู้ที่นั่งหรือยืนนานๆ เช่น พนักงานออฟฟิศ แม่บ้าน หรือหญิงตั้งครรภ์
3. บริเวณหน้าท้อง
หากเห็นเส้นเลือดเขียวพาดตามแนวนอนของหน้าท้องอย่างชัดเจน อาจเกี่ยวข้องกับปัญหาเกี่ยวกับ “ตับ” หรือ “ภาวะความดันหลอดเลือดดำพอร์ทัลสูง” ซึ่งพบได้ในโรคตับแข็ง สัญญาณร่วมอื่นๆ ที่ควรเฝ้าระวัง ได้แก่ หน้าท้องโตเร็ว มีน้ำในช่องท้อง เหนื่อยง่าย ตัวเหลือง ตาเหลือง หรือฟกช้ำง่าย หากมีอาการเหล่านี้ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจการทำงานของตับ
4. หน้าอก
เส้นเลือดเขียวที่เห็นได้บริเวณหน้าอกมักเกิดจากผิวหนังบางหรือการออกกำลังกายที่ทำให้กล้ามเนื้อหน้าอกเด่นชัด แต่ถ้ามีอาการร่วม เช่น ปวดคัดหน้าอก มีตุ่มแข็งใต้ผิวหนัง หรือผิวหนังเป็นลอนเหมือนเปลือกส้ม อาจเกี่ยวข้องกับมะเร็งเต้านม แม้แต่ในผู้ชาย ก็สามารถพบภาวะเส้นเลือดเขียวนูนจากความผิดปกติของต่อมน้ำนมหรือฮอร์โมนได้เช่นกัน
5. ใบหน้าและศีรษะ
เส้นเลือดที่เห็นชัดบริเวณขมับ หน้าผาก หรือจมูก อาจไม่ใช่เพียงแค่เรื่องผิวบาง แต่หากมีอาการปวดหัวเรื้อรัง หน้ามืด พูดไม่ชัด หรืออ่อนแรงครึ่งซีก อาจเป็นสัญญาณของโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดสมองหรือความดันในกะโหลกศีรษะผิดปกติ นอกจากนี้ เส้นเลือดบริเวณใบหน้าอาจสัมพันธ์กับภาวะไทรอยด์เป็นพิษ เบาหวาน หรือปัญหาทางเดินอาหาร หากมีอาการอื่นร่วม เช่น อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ท้องอืด ควรตรวจสุขภาพเพิ่มเติม
6. บริเวณอวัยวะเพศชาย (ถุงอัณฑะ)
ในผู้ชาย เส้นเลือดเขียวที่นูนเป็นเส้นคดเคี้ยวในถุงอัณฑะมักเป็นสัญญาณของ “ภาวะเส้นเลือดขอดในถุงอัณฑะ” (Varicocele) ซึ่งสามารถส่งผลต่อคุณภาพอสุจิและความสามารถในการมีบุตร ผู้ป่วยอาจรู้สึกปวดหน่วงบริเวณอัณฑะ โดยเฉพาะหลังยืนนานหรือออกกำลังหนัก หากสังเกตว่าขนาดถุงอัณฑะสองข้างไม่เท่ากัน หรือมีความรู้สึกเหมือน “ถุงเชือกบิด” ควรรีบปรึกษาแพทย์เฉพาะทางระบบสืบพันธุ์
แม้เส้นเลือดนูนจะไม่ใช่เรื่องผิดปกติเสมอไป เพราะอาจเกิดขึ้นจากหลายสาเหตุ เช่น การออกกำลังกาย ความบางของผิว หรือพันธุกรรม แต่หากพบว่ามีอาการร่วมอื่นๆ เช่น ปวด บวม ตึง ชา รู้สึกไม่สบาย เกิดขึ้นโดยไม่มีเหตุผลชัดเจน หรือมีอาการผิดปกติที่เกิดซ้ำบ่อยๆ ก็ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินสุขภาพโดยรวมอย่างละเอียด เพราะบางครั้ง “ความผิดปกติเล็กๆ” ที่มองข้าม อาจเป็นสัญญาณของโรคใหญ่ที่ป้องกันได้ตั้งแต่ต้น