โดยทนายตั้มให้พี่อ้อยเก็บไว้1ฉบับและที่ทนายตั้ม1ฉบับ พี่อ้อยบอกว่าในวันที่1มีนาคมปี2566 จ่ายค่าจ้างทนายตั้มเป็นงวดสุดท้าย และที่ไม่จ่ายค่าที่ปรึกษาทนายตั้ม เนื่องจากทนายตั้มและครอบครัวบินไปต่างประเทศมากกว่าค่าจ้างอีก โดยไปต่างประเทศครั้งละ3ถึง4ล้านบาท โดยเฉพาะไปประเทศนิวยอร์กประเทศเดียวก็ประมาณ3ถึง4ล้านบาท นอกจากนี้พี่อ้อยยังบอกว่า พี่อ้อยได้ตัดสินใจทำพินัยกรรมฉบับใหม่ เมื่อวันที่27มกราคม2567โดยทำใหม่ที่อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ที่ทำฉบับใหม่ เพราะทนายตั้มไม่ได้ให้ฉบับเดิม อ้างว่าทำลายทิ้งแล้ว
นอกจากนี้พี่อ้อยยังพูดถึงประเด็นที่ไม่ไปเที่ยวเขื่อนเชี่ยวหลาน จังหวัดสุราษฎร์ธานีกับทนายตั้มว่า ไม่ชอบแพ และไม่ชอบความลำบาก ขณะที่พี่น้อย เลขาของพี่อ้อยเสริมอีกว่า ตอนนั้นเขาชวนพี่อ้อย แต่พี่ปฏิเสธไม่ไปเพราะเขาบอกจะให้ไปเจอกับนักการเมือง แต่พี่ไม่อยากเจอ พี่น้อยยังบอกอีกว่า นอกจากทนายตั้มจะติดจีพีเอสในรถเบนซ์ เพื่อมอนิเตอร์ติดตามตัวพี่น้อยแล้ว ทนายตั้มยังมีกุญแจบ้านพี่อ้อยที่ปากช่องอีก วันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ทนายตั้มก็จะพาครอบครัวไปพักที่บ้านพี่อ้อย
ส่วนทางด้านพี่อ้อย หลังออกมาจากลิฟท์ตึกกองปราบปราม ได้ให้สัมภาษณ์สื่อสั้นๆดำเนินคดีให้ถึงที่สุด ไปให้สุดซอยจาก นางสาวจตุพร หรือเจ้อ้อยยืนยันดำเนินคดีนายษิทรา หรือทนายตั้มถึงที่สุด หลังเข้าให้ปากคำตำรวจอีกครั้ง เกี่ยวกับเรื่องที่นายปานเทพ ออกมาเปิดเผยข้อมูล เรื่องการทำพินัยกรรมให้ว่า นายษิทรา ได้ใส่ชื่อตัวเองลงไปเป็นผู้จัดการมรดก ว่าจะมีความเกี่ยวข้องกับคดีฉ้อโกงหรือไม่ การสอบปากคำนางสาวจตุพร ตำรวจใช้เวลานานกว่า1 ชั่วโมง จนถึงช่วงเวลา22.30น.เมื่อคืนที่ผ่านมา นางสาวจตุพรพร้อมผู้ติดตามอีก3คน เดินลงมาจากอาคารประชาอารักษ์กองบังคับการปราบปราม ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนสั้นๆว่า จะเดินหน้าดำเนินคดีกับนายษิทราให้ถึงที่สุด พร้อมระบุว่าจะเดินทางกลับที่ประเทศฝรั่งเศสในวันนี้ พลตำรวจตรีสุวัฒน์แสงนุ่ม รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางเปิดเผยว่า กรณีเชิญนางสาวจตุพรมาให้ปากคำเพิ่มเติม มุ่งเน้นไปในเรื่องของตรวจสอบคำให้การก่อนหน้านี้ว่า มีส่วนใดขาดตกบกพร่อง